เก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า
ผมเคยอ่านหนังสือของใครสักคน
(คล้ายๆว่าจะเป็นพี่นิ้วกลม) เหมือนจะบอกประมาณว่า......
ก่อนเราจะออกเดินทาง
เราสามารถเลือกได้ว่าจะเอาอะไรใส่กระเป๋าซึ่งมีพื้นที่จำกัดอันน้อยนิดไปกับเราได้บ้าง
แต่ขากลับนั้นยากกว่า เพราะว่าระหว่างที่เราเดินทางอยู่นั้นเราไม่รู้ว่าเราจะได้เจออะไร และจะเอา“อะไร”ใส่กระเป๋ากลับมากับเราได้
แต่ขากลับนั้นยากกว่า เพราะว่าระหว่างที่เราเดินทางอยู่นั้นเราไม่รู้ว่าเราจะได้เจออะไร และจะเอา“อะไร”ใส่กระเป๋ากลับมากับเราได้
หลังจากที่ผมอ่านข้อความนี้เสร็จ
นอกจากจะได้รับความคมคายมาจากผู้เขียน (ซึ่งน่าจะเป็นพี่นิ้วกลม)
ว่าบางทีเราควรจะเผื่อพื้นที่ในกระเป๋าขาไปไว้บ้าง
เพื่อที่เราจะได้เปิดรับสิ่งใหม่ๆหรือ “อะไร” ที่เราจะไปเจอและนำกลับมากับเราหลังจากที่การเดินทางสิ้นสุดลงแต่พอหลังจากที่ผมได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยแล้ว
ต้องมานั่งคิดกันใหม่หมดเลยครับ -_-"
วิธีการจัดกระเป๋าของผมครั้งที่เริ่มเดินทางไปต่างประเทศนั้น ของที่ใส่เข้าไปนี่จะเข้าข่ายอารมณ์แบบว่า โลกแตก เอเลี่ยนบุก ซอมบี้เกลื่อนเมืองก็ยังอยู่ได้เป็นสัปดาห์ๆ อะไรที่คิดว่า"น่าจะ"จำเป็นต้องใช้ หรือ "เผื่อ" จะได้ใช้นี่มีเต็มไปหมด ตอนสมัยไปเข้าค่ายลูกเสือ พี่เคยบอกว่าถึงขั้นจะขอมีดถางหญ้าไปด้วย (ไปเข้าค่ายที่โรงเรียน) หนักถึงขั้นใส่มาม่าเข้าไปนับลัง มีดปอกผลไม้ เชือก เข็มทิศ ห่าเหวอะไรไม่รู้อีกนับสิบ ก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าไม่รู้จะใส่เข้าไปหาพระแสงอินเดียน่าโจนส์อะไรกันนักหนา สงสัยจะดูหนังประเภทสู้ชีวิตมากไป ไม่อารมณ์ติดอยู่ในสนามบิน เครื่องบินตก ไม่ก็กลัวโดนแท๊กซี่หลอกไปปล่อย
พอหลังๆได้เดินทางบ่อยขึ้นจึงเริ่มคิดได้ ว่าเออ แม่งไอ่ที่เอาไปๆ(อ่านว่าเอาไป-เอาไปนะจ๊ะ ไม่ใช่ เอาไปไป) เนี่ยะ แม่งก็นอนกองอยู่นอกกระเป๋าตอนอยู่ที่ที่พัก ไม่ได้ทำคุณประโยชน์อะไรกับเจ้าของทั้งตอนไป ระหว่างไป และตอนกลับ นอกจากจะขวางที่ขวางทางแล้วมันยังไม่ช่วยทำตัวลีบๆให้เปลืองตัวน้อยลงอีกต่างหาก!!!!
การเดินทางครั้งหลังๆ ของที่เอาไปจึงเริ่มน้อยลง เพราะเริ่มจำได้ว่ามีอะไรที่พกไปและไม่เคยได้ใช้ในการเดินทาง และเริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น มีที่สำหรับใส่ของตอนขากลับเยอะขึ้นกว่าเก่า ไอ่กระเป๋าที่เคยใช้เดินทางไซส์แบบที่จะใช้ไปเรียนที่ฮอกวอร์ตของผม จึงมีที่เหลือสำหรับใส่ของตอนขากลับและเวลาเดินทางรอบอื่นๆอีกบานตะไท จากที่ผมได้เคยไปชิมลางกับการเดินทางไปไต้หวันก่อนหน้าครั้งนี้แล้ว ผมจึงได้ทำการบ้านมาบ้างว่าควรและไม่ควรเตรียมอะไรไปบ้าง โดยได้จำแนกหัวข้อและวิธีการเลือกของเดินทางออกเป็นหลายๆหมวด และสามารถทำให้ใช้ได้ในหลายสถานการณ์ ตามที่เห็นข้างล่างนี้เลยครับ
กระเป๋าเดินทาง
แนะนำให้ใช้กระเป๋าที่มีทรง(เหลี่ยมๆ)
ไม่ควรใช้แบบที่เป็นผ้าและกรีดง่าย
เพราะเคยได้ยินข่าวที่อเมริกาว่าเค้ากรีดกระเป๋าแล้วยัดยาเข้าไปไว้ในกระเป๋า
หลังจากนั้นด้วยความกลัวที่จะโดนจับเข้าห้องเย็นในแต่ละประเทศที่ไปจนตัวสั่น ผมจึงใช้กระเป๋าที่มีทรง(เหลี่ยมๆ)
หรือกระเป๋าที่วัสดุภายนอกเป็นพลาสติกแข็งเพื่อตัดปัญหาวิตกจริตจากการโดนกรีด นอกจากนี้แล้ว ตอนเลือกผมจะเอากระเป๋าที่ติดท็อปในดวงใจมาชั่งน้ำหนัก
เพราะว่าจะได้มีน้ำหนักเอาไว้ใส่ของเรามากขึ้นถ้าหากตัวกระเป๋าของเรามีน้ำหนักเบา
สำหรับระบบการล็อคกระเป๋า ผมใช้แบบรหัสล็อคมากกว่าการใช้กุญแจ เพราะว่าผมเป็นหนึ่งในคนบนดาวโลกนี้ที่มักจะดวง"ชง"กับปัญหากุญแจบ่อยมากกกกกกกกกก ถึงมากกกกที่สุด!!!!!! ไม่รู้ชาติที่แล้วไปทำกรรมHaอะไรไว้กับช่างทำกุญแจ จะเป็นบ่อยมากกับชอบล็อคกุญแจทิ้งไว้ในห้องบ้าง ในรถบ้าง บางทีถึงขั้นโดนคนทั้งบ้านสาปส่งเพราะดันมือบอนไปล็อคกุญแจห้องน้ำที่บ้านบ้างเป็นต้น เพื่อต้องการที่จะตัดปัญหาสาปส่งตัวเองที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต ผมจึงใช้แบบรหัสเพราะจะได้ไม่ต้องเสียเวลาหากุญแจ ส่วนรหัสบางทีก็จดไว้ในโทรศัพท์บ้างใช้เลขชุดที่ตัวเองจำได้บ้างเผื่อจะได้เบาแรงสมองอีก (แล้วก็ทำโทรศัพท์หาย ตึ่งโป๊ะ!)
สำหรับระบบการล็อคกระเป๋า ผมใช้แบบรหัสล็อคมากกว่าการใช้กุญแจ เพราะว่าผมเป็นหนึ่งในคนบนดาวโลกนี้ที่มักจะดวง"ชง"กับปัญหากุญแจบ่อยมากกกกกกกกกก ถึงมากกกกที่สุด!!!!!! ไม่รู้ชาติที่แล้วไปทำกรรมHaอะไรไว้กับช่างทำกุญแจ จะเป็นบ่อยมากกับชอบล็อคกุญแจทิ้งไว้ในห้องบ้าง ในรถบ้าง บางทีถึงขั้นโดนคนทั้งบ้านสาปส่งเพราะดันมือบอนไปล็อคกุญแจห้องน้ำที่บ้านบ้างเป็นต้น เพื่อต้องการที่จะตัดปัญหาสาปส่งตัวเองที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต ผมจึงใช้แบบรหัสเพราะจะได้ไม่ต้องเสียเวลาหากุญแจ ส่วนรหัสบางทีก็จดไว้ในโทรศัพท์บ้างใช้เลขชุดที่ตัวเองจำได้บ้างเผื่อจะได้เบาแรงสมองอีก (แล้วก็ทำโทรศัพท์หาย ตึ่งโป๊ะ!)
อุปกรณ์อิเลคโทรนิคต่างๆ
-มือถือเครื่องเดียวพร้อมสายชาร์จ
เพราะผมชอบใช้กล้องมือถือถ่ายรูป เนื่องจากความสะดวก บางทีผมจะพกสายชาร์จสำรองไปด้วยเผื่อสายไฟมันขาดใน
เพราะผมชอบใช้กล้องมือถือถ่ายรูป เนื่องจากความสะดวก บางทีผมจะพกสายชาร์จสำรองไปด้วยเผื่อสายไฟมันขาดใน
- แทรเวลเลอร์ปลั๊ก
หรือที่เรียกกันว่ายูนิเวอซอลปลั๊ก หรือว่าปลั๊กเดินทาง (เอออนั่นแหล่ะ
เข้าใจตรงกันนะ)
สำหรับเผื่อเอาไว้ไปแรดต่างประเทศ
เพราะว่าปลั๊กของไต้หวันส่วนใหญ่จะใช้แบบข้างล่างนี้ ซึ่งบ้านเราก็ใช้ได้เช่นกัน
สำหรับใครที่ซื้อปลั๊กหัวกลม แนะนำว่าให้เอา ปลั๊กพ่วงไปด้วยสักชุดก็ดี
อันเล็กๆสามช่อง สะดวกมิใช่น้อยครับ
-คอมพิวเตอร์
โน๊ตบุ๊ค
ถ้าใครสนใจจะไปถอยโน๊ตบุ๊คใหม่ที่ประเทศไต้หวัน
แบรนด์ที่ดังๆและขายกันอยู่จะเป็นแบรนด์ Asus กับ Acer ซึ่งเป็นแบรนด์ดังประจำชาติเค้า ซึ่งราคาหลายๆรุ่นจะถูกกว่า
และมีให้เลือกหลากหลายมากกว่ารุ่นที่บ้านเราวางขายอยู่ ซึ่งรวมไปถึงอุปกรณ์พวก
แทบเล็ต หรือว่าตระกูลแผดๆโน๊ตๆทั้งหลายด้วย
สำหรับคนที่พิมพ์ไทยไม่เก่งแนะนำให้ซื้อสติ๊กเกอร์แป้นพิมพ์ภาษาไทยติดไปด้วย
และตอนไปซื้อสามารถสอบถามว่าเค้ามีราคาสำหรับนักศึกษาด้วยหรือเปล่า
เพราะว่าหลายๆร้านจะให้ส่วนลดกับนักศึกษาเวลาซื้อ
โดยอาจจะเป็นการลดราคาขายหรืออาจจะมีของแถมให้ด้วยจ้า
- กล้องถ่ายรูป
ถ้าเป็นคนชอบถ่ายรูป พวกเลนส์ต่างๆสามารถไปหาซื้อเพิ่มที่ไต้หวันได้ครับ
หลายรุ่นหลายยี่ห้อ กูรูเพื่อนผมบอกว่าหลายรุ่น ราคาถูกกว่าบ้านเรา
สำหรับเมมโมรี่การ์ดนั้นหาซื้อที่ไต้หวันได้ไม่ยาก
ราคาถูกและไม่ต่างกับบ้านเรามากเช่นกันครับ
*เพิ่มเติม*สำหรับคนที่เล่นกล้องโพลารอยด์ของ Fuji (Fujistax)
ผมคิดว่าฟิล์มที่ไต้หวันถูกกว่าบ้านเรา มาหาซื้อที่นี้ได้ครับ
ของเล่นอุปกรณ์เสริมต่างๆเยอะมาก
ยารักษาโรคหรือยาประจำตัว
ผมแนะนำให้พกไปเผื่อเกินจากวันที่เราจะไปสำหรับคนที่จะไปเที่ยว
สำหรับคนที่จะไปเรียน พกไปให้พอจบเทอมแรก (ถ้าคิดจะกลับบ้าน)
หรืออาจจะฝากเพื่อนซื้อตอนช่วงปิดตรุษจีนได้ครับ ซึ่งพกยาเฉพาะเท่าที่จำเป็น
เพราะว่าเมื่อก่อนผมเคยพกยาไปทุกย่างที่มีขาย แก้หวัด แก้ไข้ แก้ท้องเสีย
แก้ร้อนใน แก้แพ้ แก้ผิวหนังอักเสบ ถ่ายพยาธิ และอีกมากมาย สุดท้ายใช้ไม่หมด
กลับมาก็ใช้ไม่หมด เลยต้องเอาทิ้งไปเพราะมันหมดอายุทุกยาเลยครับ -_-
ยาสามัญส่วนใหญ่สามารถหาซื้อได้ที่นี่ แต่ควรเตรียมชื่อเป็นภาษาอังกฤษ(ชื่อตัวยา) ไว้ด้วย เพราะว่าร้านยาที่นี่ เค้าจะมีชื่อเรียกตัวยาเป็นภาษาจีนครับ มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมเป็นผิวหนังอักเสบคันแขนไม่หยุด เลยตัดสินใจไปที่ร้านขายยา คุยกันรู้เรื่องมากกกก ผมเลยได้ยาทาแก้คันยุงกัดมาหนึ่งหลอดถ้วน -_-“ จึงควรเตรียมไว้ให้เภสัชกรเค้าดู เค้าจะได้หยิบให้เราได้เลยครับผม
ยาสามัญส่วนใหญ่สามารถหาซื้อได้ที่นี่ แต่ควรเตรียมชื่อเป็นภาษาอังกฤษ(ชื่อตัวยา) ไว้ด้วย เพราะว่าร้านยาที่นี่ เค้าจะมีชื่อเรียกตัวยาเป็นภาษาจีนครับ มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมเป็นผิวหนังอักเสบคันแขนไม่หยุด เลยตัดสินใจไปที่ร้านขายยา คุยกันรู้เรื่องมากกกก ผมเลยได้ยาทาแก้คันยุงกัดมาหนึ่งหลอดถ้วน -_-“ จึงควรเตรียมไว้ให้เภสัชกรเค้าดู เค้าจะได้หยิบให้เราได้เลยครับผม
สำหรับคนที่ไปเรียน
หลังจากที่อยู่ไปได้สักพัก เค้าจะให้เราทำบัตร National Health Insurance (NHI) ซึ่งครอบคลุมค่ารักษาส่วนใหญ่ของเรา
และค่าหมอค่ายา ถูกเว่อรรรร์!!! เพราะฉะนั้น
ไม่จำเป็นต้องพกยาสามัญไปเยอะครับ
เสื้อผ้า
ต้องดูว่าเราไปช่วงฤดูไหนของไต้หวันครับ
เพราะว่าฤดูกาลของไต้หวัน จะเริ่มอากาศเย็นลงช่วงปลายๆเดือนกันยายนเป็นต้นไป
ซึ่งขึ้นอยู่กับเมืองที่เราไปอยู่
อากาศหนาวแบบไต้หวันจะไม่ได้หนาวเหมือนยอดดอยของเราครับ แต่จะเป็นหนาวลม
เพราะฉะนั้นเสื้อกันหนาวที่พกไป ผมแนะนำว่าควรเป็นเสื้อกันหนาวแบบที่ “กันลม” ด้วยและถ้าจะให้ดี สามารถกันน้ำได้นิดหน่อยจะดีมากครับ
เพราะว่าไต้หวันเวลาถึงช่วงเปลี่ยนผ่านฤดู ฝนจะตกบ่อยมาก บางทีตกกัน 7 วันต่อสัปดาห์เลยก็มี
เพราะฉะนั้นควรจะเตรียมเสื้อผ้าที่ไม่อมน้ำและกันลมไว้ด้วยครับ สำหรับคนที่ไปเรียน
ในช่วงฤดูร้อน อากาศจะร้อนถึงขั้นร้อนมากพอๆกับบ้านเรา แนะนำให้เตรียมกางเกงขาสั้นไปใส่เปลี่ยน แต่ต้องระวังเพราะว่าไต้หวันจะมีแมงหวี่ที่เค้าเรียกว่า เสี่ยวไฮเหวิน ซึ่งหน้าตามันจะเหมือนแมงหวี่ เสแสร้งมาตอมเราแบบใสๆ แต่เผลอปุ๊บมันจะกัดเราทันที นอกจากความคันที่มันแรงระดับ 8 ริกเตอร์ ยิ่งกว่ายุงธรรมดาแล้ว มันยังมีอาการคันเรื้อรังที่นานกว่ายุง แถมยัง
มหาวิทยาลัยที่ไต้หวันจะไม่มีเครื่องแบบเหมือนมหาวิทยาลัยบ้านเรา สามารถใส่อะไรไปเรียนก็ได้ แต่ผมขอแนะนำว่าให้ใส่รองเท้าผ้าใบไปเรียน และเห็นใจกับเพื่อนร่วมชั้นด้วยครับ ถ้าใส่กางเกงบอลไปเรียนแล้วนั่งผิดท่า คนนั่งตรงข้ามอาจจะมีช็อคได้ หรือสาวๆที่ใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้น นอกจากจะรบกวนสมาธิเพื่อนร่วมชั้นแล้ว อาจจะรบกวนสมาธิอาจารย์ผู้สอนได้ แต่เวลามีนำเสนองานหรือ Presentation ควรจะใส่เสื้อมีปกและกางเกงขายาวในการนำเสนอ เพื่อความเป็นทางการและดูเป็นทางการครับ
ผมเตรียมกางเกงยีนส์ไป 3 ตัว
เสื้อยืด 7 ตัว
เสื้อกันหนาวแบบสวมหัว( Hoodie) 1 ตัว
เสื้อกันหนาวธรรมดา 1 ตัว
เสื้อกันหนาวกันลม 1 ตัว
กางเกงขาสั้น 3 ตัว
กุงเกงลิง 10 ตัว
ถุงเท้า 10 คู่
รองเท้ากีฬา 1 คู่
รองเท้าทางการ(สีดำ) 1 คู่
เสื้อสูท+กางเกงแสลค 1 ชุด
เสื้อเชิร์ต 3 ตัว
เสื้อโปโล 2 ตัว
ผมคิดว่าสำหรับเสื้อกันหนาวสำหรับหน้าหนาว
ค่อยไปซื้อตอนที่ไปถึงเพราะว่าตอนที่ไปไม่รู้ว่าหน้าหนาวไต้หวันมันจะหนาวแค่ไหนยังไง
เลยคิดว่าถ้าไปซื้อเสื้อกันหนาวแบบที่เค้าขายอยู่
น่าจะเข้าได้กับสภาพอากาศของประเทศเค้ามากกว่าเลยไม่ได้หอบไปเยอะครับ
ผมคิดว่าควรมีการเตรียมชุดประจำชาติ หรือว่าเครื่องแต่งกายพื้นเมืองไปด้วย 1 ชุด
เผื่อว่าต้องมีการแสดงความสามารถ หรือว่าเข้าร่วมงานต่างๆที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม
จะช่วยเป็นการโฆษณาวัฒนธรรมของชาติเราไปด้วยครับ (ผมพกขลุ่ยไปด้วย 1 เลาถ้วน)
อุปกรณ์การเรียน/เครื่องเขียน
ณ ตอนที่จัดกระเป๋าอยู่
ผมไม่รู้ว่าราคาเครื่องเขียนที่ไต้หวันมันราคาแพงมากน้อยต่างกับบ้านเรายังไง
ผมเลยตัดสินใจที่จะเตรียมไปเผื่อใช้สำหรับหนึ่งเทอม
แต่พอไปถึงแล้วถึงได้รู้ว่าราคาเครื่องเขียนบ้านเค้าแทบจะไม่ต่างกับบ้านเรา
เผลอๆถ้าเป็นช่วงใกล้เปิดเทอมหรือว่าลดราคา ราคายิ่งจะถูกกว่าบ้านเราเสียอีก
และร้านค้าเหล่านี้จะมีราคาที่ถูกลงกว่าเดิมประมาณ 1-5% ถ้าเราสมัครเป็นสมาชิกของร้าน
และร้านเครื่องเขียนใหญ่ๆหลายๆร้านของไต้หวัน
เค้าจะไม่ขายแค่เครื่องเขียนอย่างเดียวแต่จะรวมไปถึงของขวัญและอุปกรณ์จิปาถะต่างๆซึ่งหลอกล่อให้เราเสียเงินได้อีกมาก
ผมขอแนะนำให้สมัครสมาชิกตั้งแต่เริ่มใช้บริการไปเลยครับ
เพราะว่าจะได้ใช้ให้คุ้มๆจนเรียนจบกันไปเลย
บางคนกลัวว่าไปถึงแล้วอาหารจะไม่ถูกปากหรือว่า
เป็นคนที่ทานอะไรได้ลำบากกว่าคนอื่นๆ เลยพกมาม่าหรือว่าซอสประจำตัวกันไปด้วยอยู่เยอะ
ส่วนตัวผมคิดว่า ในเมื่อเราตัดสินใจแล้วว่าเราจะไปเที่ยว(เรียน)ต่างประเทศ
การปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ ผมจึงแนะนำว่าเอาไปแค่พอดี
(แพคเล็กหรือกระปุกเล็กๆ) เผื่อเอาไว้แก้คิดถึงบ้าน(แก้จน)เป็นพักๆ
คิดซะว่าได้ลองหัดกินอะไรที่บ้านเราไม่มีขาย ลิ้มรสอาหารต่างประเทศให้เต็มที่
จะได้ถือว่าไม่เสียเที่ยวที่เดินทางมาถึงต่างประเทศครับ
เครื่องดนตรี/อุปกรณ์กีฬา
ถ้าเป็นคนที่ชอบเล่นกีฬา
เป็นนักกีฬา หรือเป็นนักดนตรี ผมแนะนำว่าควรเอาอุปกรณ์เครื่องมือของตัวเองมาด้วยครับ
เพราะว่าจะได้สามารถไปเข้าร่วมกิจกรรมกับเพื่อนๆในมหาวิทยาลัยได้ทันที
และไม่ต้องเสียเงินสองต่อ ถ้าจะต้องไปซื้อใหม่
สำหรับอุปกรณ์กีฬาในไต้หวันราคาไม่ต่างกับบ้านเรามากครับ บางที่ถ้ามีงานลดราคามากๆ
เผลอๆจะถูกกว่าบ้านเรา แต่สำหรับเครื่องดนตรี ถ้าเป็นคนที่เล่นเครื่องเป่า(ทองเหลือง)
ที่นี่เค้ามีชื่อเสียงเรื่องของเครื่องเป่าทองเหลืองครับ อาจจะลองมาดูมาชมกันได้
ซึ่งจะเป็นงานที่ค่อนข้างดีแต่ราคาก็จะสูงไปด้วย
เสียอย่างเดียวคือจะเป็นยี่ห้อท้องถิ่นซึ่งจะลำบากเวลาขายต่อ
สำหรับเครื่องดนตรีประเภทอื่นๆนั้น ผมคิดว่าราคาค่อนข้างจะสูงเมื่อเทียบกับบ้านเราค่อนข้างเยอะ
ผมจึงแนะนำให้นำเครื่องของตัวเองมาด้วยครับ
ดิกชันนารี หนังสือเรียนจีน คู่มือภาษาต่างๆ และหนังสือเรียน
เอามาแค่พอเอาชีวิตรอดในช่วงแรกๆครับ
เพราะว่าหนังสือเรียนภาษาจีนของไต้หวันนั้นใช้หลักสูตรเดียวกันทั่วทั้งประเทศ
และสมุดคัด ดิกชันนารีต่างๆ(ซึ่งเป็นภาษาอังกฤษ-จีน)
สามารถหาซื้อได้ตามร้านหนังสือครับ
ไม่จำเป็นต้องแบกแบบเรียนของบ้านเรามาให้หนักเปล่าครับ สำหรับหนังสือ Textbook
หรือว่าหนังสือเรียนวิชาต่างๆฉบับภาษาไทยนั้น
ถ้าเป็นวิชาที่ต้องอาศัยความเข้าใจโดยละเอียดและใช้ศัพท์ทางเทคนิคนั้น
แนะนำเอามาใช้อ้างอิงได้ครับ เพราะว่าสำหรับคนที่เรียนหลักสูตรภาษาจีนนั้น
เค้าจะใช้ศัพท์ทุกอย่างเป็นภาษาจีนหมดเพราะฉะนั้นมีฉบับภาษาไทยติดมาด้วยจะดีมากครับ
โดยแนะนำว่าแสกนแล้วใส่เป็นไฟล์มาจะลดภาระได้เยอะกว่าครับ สำหรับคนที่เรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษและต้องการที่จะฝึกภาษาอังกฤษ ผมแนะนำว่ามัดมือชกด้วยการไม่พกอะไรมาเลยจะดีที่สุด เพราะจะเป็นการฝึก(แกมบังคับ)ให้เราได้หัดอ่านหัดแปล หัดเรียนภาษาอังกฤษไปในตัวด้วย ถ้าไม่เข้าใจค่อยเปิดเว็บหาคำแปลเป็นรายตัวเอา 5555
เครื่องสำอางเครื่องประทินโฉม
สำหรับในส่วนนี้นั้น เนื่องจากผมเป็นผู้ช๊ายผู้ชายย(จริงๆนะตัวเทอว์) ผมให้คำแนะนำให้แก่สาวเล็กสาวน้อยสาวใหญ่ทุกคนได้แค่เพียงว่า อาจจะลองกูเกิ้ลดูว่าแบรนด์ที่ตัวเองใช้มีขายที่ไต้หวันกันหรือเปล่า ถ้าเป็นกลุ่ม Skinfood, Face Shop,Etude ที่นี่ส่วนใหญ่จะมีหมด แต่สำหรับราคาที่ขายนั้น ต้องมาลองเช็คกันเอง เพราะเพื่อนสาว(หมายถึงเพื่อนที่เป็นผู้หญิงและยังเป็นสาวอยู่) บอกว่าของหลายๆอย่างมีราคาที่ไม่เหมือนกับประเทศไทย ผมแนะนำให้เตรียมมาเท่าที่จำเป็นก่อน แล้วถ้าจะซื้อเพิ่มยังไงค่อยตัดสินใจต่อทีหลังครับ
โดยแนะนำว่าแสกนแล้วใส่เป็นไฟล์มาจะลดภาระได้เยอะกว่าครับ สำหรับคนที่เรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษและต้องการที่จะฝึกภาษาอังกฤษ ผมแนะนำว่ามัดมือชกด้วยการไม่พกอะไรมาเลยจะดีที่สุด เพราะจะเป็นการฝึก(แกมบังคับ)ให้เราได้หัดอ่านหัดแปล หัดเรียนภาษาอังกฤษไปในตัวด้วย ถ้าไม่เข้าใจค่อยเปิดเว็บหาคำแปลเป็นรายตัวเอา 5555
หนังสือเรียนภาษาจีนสำหรับชาวต่างชาติในไต้หวัน ทุกคนที่เคยเรียนภาษาจีนของไต้หวันต้องผ่านเล่มนี้มาทุกคนจ้า (Practical Audio-Visual Chinese 1-5) |
เครื่องสำอางเครื่องประทินโฉม
สำหรับในส่วนนี้นั้น เนื่องจากผมเป็นผู้ช๊ายผู้ชายย(จริงๆนะตัวเทอว์) ผมให้คำแนะนำให้แก่สาวเล็กสาวน้อยสาวใหญ่ทุกคนได้แค่เพียงว่า อาจจะลองกูเกิ้ลดูว่าแบรนด์ที่ตัวเองใช้มีขายที่ไต้หวันกันหรือเปล่า ถ้าเป็นกลุ่ม Skinfood, Face Shop,Etude ที่นี่ส่วนใหญ่จะมีหมด แต่สำหรับราคาที่ขายนั้น ต้องมาลองเช็คกันเอง เพราะเพื่อนสาว(หมายถึงเพื่อนที่เป็นผู้หญิงและยังเป็นสาวอยู่) บอกว่าของหลายๆอย่างมีราคาที่ไม่เหมือนกับประเทศไทย ผมแนะนำให้เตรียมมาเท่าที่จำเป็นก่อน แล้วถ้าจะซื้อเพิ่มยังไงค่อยตัดสินใจต่อทีหลังครับ
ร้านขายเครื่องใช้อุปโภค เครื่องสำอางแฟรนชายส์ แทบจะมีอยู่ทุกเมืองของไต้หวัน Poya |
พอหลังจากที่เราได้คัดเลือกสิ่งของที่จะได้รับโอกาสไปท่องเที่ยวกับเราแล้วนั้น
ช่วงที่สำคัญต่อมาไม่แพ้กันเลย คือการจัดกระเป๋าครับ ซึ่งผมเชื่อว่ามีหลายคน
ต้องมีการเอามือลูบหน้า เกาหัว เกาแขน เกาขา เกาtootกับปัญหายัดของไม่เข้า ตัดใจไม่ลง
ทิ้งของและความทรงจำไว้เหมือนเพลงสบู่ของแสตมป์ ต่อไปนี้เป็นเคล็ดวิชาที่ผมมักจะใช้เวลาเดินทางบ่อยๆ
ซึ่งหลายๆคนอาจจะรู้อยู่แล้วหรืออาจจะไม่รู้นะครับผม ลองเอาไปใช้กันดู
1. เสื้อยืด: ม้วนมันเข้าไป ถ้ามีโลชั่น โรลออน น้ำหอม หรือว่าวัสดุที่แตกง่าย ถือโอกาสใช้มันเป็นตัวกันแตกได้ครับ
2. ข้างล่างสุด:
เวลาเรียงลำดับการวาง เอาเป็นกางเกง ไล่จากยีนส์ แสลค
แล้วก็กางเกงขาสั้น อาจจะเอาเสื้อกันหนาวปูแผ่รองไว้อีกทีก็ได้
เผื่อเวลาเค้าโยนกระเป๋า
อย่างน้อยด้านก้นกระเป๋ายังมีพวกกางเกงช่วยรับแรงกระแทกได้
3. รองเท้า: สำหรับคนที่ใช้กระเป๋าที่สามารถลากได้
เอารองเท้าเข้าไปวางด้านตรงกันข้ามกับล้อ เพราะว่ารองเท้าจะได้ไม่ยับและไม่โดนกดได้ครับ
(รองเท้าทางการของผู้ชาย)
ถ้ามีหลายคู่อาจจะเก็บไว้รอใส่ด้านบนกระเป๋าทีหลังได้ครับ
4. ตรงกลาง: ใส่ชุดชั้นใน กุงเกงลิง เสื้อยืดที่ม้วนแล้ว อุปกรณ์อิเลคโทรนิค หยูกยา ของฝากอะไรก็ว่าไปที่มันเสี่ยงต่อการแตก
หรือว่าขาด มาม่งมาม่า ยัดมันลงไปตรงนี้ ต้องระวังการม้วนดีๆ
อย่าให้มันใหญ่เกินไปเพราะจะกลายเป็นเปลืองที่เอาครับ
และถ้าเกิดเหตุที่เราต้องรื้อของกลางสนามบิน
ลิงเราจะได้ไม่ออกมาวิ่งเล่นให้ธารกำนัลเห็นได้ครับ
5. ด้านบน: ปูเสื้อกันหนาวทับลงไปเลยครับ ผมใช้มันเปนตัวกันกระแทกจากด้านบนของกระเป๋า
และจะได้หยิบใช้ง่ายๆ เผื่อไปถึงแล้วอากาศมีการเปลี่ยนแปลงกระทันหัน
แล้วเอารองเท้ากีฬาที่ใส่ถุงพลาสติแล้ว หันด้านฝ่าเท้าออก แล้วก็ปิดกระเป๋าเลยครับ
6. ขั้นตอนสุดท้าย:
ผมถ่ายสำเนาเอกสารที่สำคัญๆยัดไว้ที่กระเป๋าด้วยครับ
เช่นพาสปอร์ตหรือว่าที่อยู่ที่ติดต่อได้นามบัตร ที่ถ้ากระเป๋าเกิดหลงขึ้นมา
เราสามารถใช้เอกสารข้างในยืนยันว่าเป็นของเราได้ครับผม
ถือเป็นอันเสร็จสิ้นการจัดกระเป๋าของผมครับ
7. น้ำหนัก: ลองชั่งน้ำหนักกระเป๋าหลังจากที่แพคเสร็จแล้ว
เพื่อให้มั่นใจได้ว่าน้ำหนักกระเป๋าเราไม่เกินจากน้ำหนักที่แต่ละสายการบินกำหนดไว้
ผมแนะนำให้เช็คสายการบินด้วยว่า เค้าให้น้ำหนักเราเท่าไหร่
และสามารถเอาอะไรใส่กระเป๋าไปได้บ้าง เพราะว่าล่าสุดสายการบินบางสายจะไม่อนุญาตให้เอา
Power Bank ใส่ไว้ในกระเป๋าที่ต้องโหลดลงใต้ท้องเครื่องต้องถือติดตัวไปด้วยครับ
พอหลังจากที่ทำการ “ยัด” ของทุกอย่างลงในกระเป๋าแล้วหลังจากนี้ก็จะเป็นช่วงเวลาของการเตรียมใจร้องเพลง
Leaving on the jet plane รอเวลาถูกส่งออกไปนอกประเทศกัน
หลายๆคนอาจจะคิดว่าโมเม้นต์แบบในหนัง เวลานางเอกวิ่งมาหาพระเอกที่หน้าเกท
แล้วผู้ชายเปลี่ยนใจไม่ยอมเดินไปทางไปเรียนต่อ สโลว์โมวชั่นคว้าเจ้าหล่อนมากอดกันกลมอยู่หน้าเกทแล้วเดินกลับบ้านไปพร้อมกันอย่างมีความสุขตามสไตล์หนังฝรั่งเป็นเรื่องเพ้อฝันที่เกิดขึ้นในหนังเท่านั้น
แต่ในความเป็นจริงนั้น
มันสามารถเกิดขึ้นได้จริงครับ มันจะมีฟิลลิ่งอารมรณ์เหมือนคืนก่อนแต่งงานของเจ้าสาวที่ฉุดคิดขึ้นมาว่ากุจะแต่งกับ
ผู้ชายคนนี้จริงๆหรอ(วะ) นั่นแหล่ะ พอใกล้วันเดินทาง
ถ้าเรายิ่งมีเวลาว่างมานั่งคิดมากเท่าไหร่ เราอาจจะเริ่มคิดมาก มากขึ้น ถึงขั้นว่า
กุคิดถูกรึเปล่าที่จะไปเรียนต่อแทนที่จะหางาน
บางคนขึ้นสมองไปถึงขั้นกลัวการนั่งเครื่องบิน
กลัวว่ามันจะไปไม่ถึงดวงดาวบ้างอะไรบ้าง
ผมแนะนำว่าให้ไปเข้าวัดทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา
เข้าโบสถ์ เข้ามัสยิด สงบสติอารมณ์และเตรียมใจสำหรับสิ่งที่กำลังรอเราอยู่ในอนาคต คิดซะว่าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด
ยังมีอีกหลายๆคนทีเค้าอยากเดินทางไปเรียนต่างประเทศ อยากนั่งเครื่องบิน
อยากเรียนภาษา อยากทำอะไรอีกหลายๆอย่างที่เรากำลังจะมีโอกาสได้ทำแต่เค้าเหล่านั้นไม่มี
ดังนั้นเราควรจะสนุกกับมันให้เต็มที่ ใช้โอกาสที่มีให้คุ้ม
ถือซะว่าเป็นประสบการณ์ชีวิตที่อีกหน่อยจะได้เอาไปเล่าให้ลูกหลานฟังได้ในอนาคต(ถ้ามี)
ระหว่างที่ผมกำลังไปปล่อยปลาไหล
ไล่ซื้อของฝากเตรียมไปให้เพื่อน(บัดดี้) ที่ทางมหาลัยเตรียมไว้ให้แล้วนั้น
เวลาก็ผ่านไปจนเหลืออีกแค่ หนึ่งสัปดาห์ก่อนที่ผมจะเดินทางขึ้นเครื่อง
แล้วผมก็นึกขึ้นมาได้ว่า………..เห๊ยยยย กุยังไม่ได้เรียนภาษาจีนไปเลยหว่ะ!!!!!!!
Highlight summary:
- ไต้หวันใช้ไฟ 110v เอาของไทยมาใช้ได้ เอาของไต้หวันกลับไปใช้ไม่ได้
- ตรวจดูอากาศในฤดูที่ต้องไปให้ดี เพราะว่าอากาศเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
- ของบางอย่างถ้าจำเป็นอาจจะต้องแบกไป ของหลายอย่างไปหาซื้อที่นั่นได้
- อย่าลืมเตรียมเครื่องมือแปลภาษาไปด้วยหากไม่มีความรู้เกี่ยวกับภาษาจีนเลย
- การแพ็กกระเป๋าสำหรับไปอยู่ยาว
“Walk outside of your comfort
zones and experience something new today”
Marc Meyer
Puipui Adventure
#puipuiadventure
Credit รูป: From Google
ตามไปดูชีวิตไร้สาระของคนเขียนได้ที่ Instragram: @puipuiiadventure
Puipui Adventure
#puipuiadventure
Credit รูป: From Google
ตามไปดูชีวิตไร้สาระของคนเขียนได้ที่ Instragram: @puipuiiadventure
เล่าได้ละเอียดดีค่ะ
ReplyDeleteขอบคุณมากครับผม :)
Deleteเล่าละเอียดดีค่ะ ติดตามอยู่นะคะ กะว่าจะไปปีหน้าเหมือนกัน ^_^
ReplyDeleteขอบคุณมากครับ :) ตอนนี้กำลังพยายามเขียนตอนใหม่ให้เสร็จอยู่ครับผม งานหลวงเยอะเหลือเกิน
Deleteเล่าละเอียดดีค่ะ ติดตามอยู่นะคะ กะว่าจะไปปีหน้าเหมือนกัน ^_^
ReplyDelete