Tuesday, December 16, 2014

ตอนที่2: ทำไมถึงไปไต้หวัน?



นั่นดิ ไปทำไมวะ???






หลายๆคนที่อยู่ในช่วงกำลังคิดตัดสินใจอยู่ว่าไปเรียนภาษาจีน หรือไปเรียนต่างประเทศในเอเชียที่ไหนดี เมื่อเอ่ยคำว่าประเทศไต้หวันต่อผู้คนรอบข้างและบุพการีแล้ว อาจจะเคยเห็นคำเกริ่น เกี่ยวกับประเทศ
 ไต้หวันที่หลายๆสำนักได้เคยกล่าวและไม่ได้กล่าวไว้ว่า
  
ไต้หวันมันมีอะไร? ทำไมไม่ไปญี่ปุ่น หรือเกาหลี? 



 ไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีนไม่ใช่หรอ 



 ถ้าจะไปเรียนภาษาจีน ทำไมไม่ไปเรียนเมืองจีนเลยวะ 



 เค้าว่าสาวขายหมากไต้หวันเด็ดที่สุด



 “F4ยังดังอยู่ไหมวะ?
(*หมายเหตุ*สำหรับคนที่ไม่รู้จัก F4 สามารถพิมพ์ค้นหาได้จากกูเกิ้ลได้นะครัช ถือว่าเป็นบอยแบนด์จากไต้หวันที่ถือว่าเป็นปรากฏการณ์เต้าหมิงซื่อกับซันไช่ฟีเวอร์กันในยุคสมัยนั้นอย่างถล่มทลายไม่น้อยไปกว่าละครไทยเรื่องอื่นเลยทีเดียว) 

และ ชาไข่มุก ไก่ทอด ฯลฯ






 
ถั่วต้มแล้วครับ! ทุกอย่างที่คุณๆเห็นอยู่ข้างบนนี้  มันเป็นคำถามที่อยู่ในหัวของผมตั้งแต่แรกรู้จักประเทศนี้ หลังจากที่ได้ลอง ขอ อากู๋(เกิ้ล) ช่วยหาข้อมูลเกี่ยวกับประเทศนี้ ให้ผม ซึ่ง ณ ตอนนั้นผมยังไม่รู้เลยว่า นอกจากภาษาจีนและสาวไต้หวัน(ที่ไม่ได้ขายหมาก)แล้ว 

                                         (ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต ไม่ได้มาจากกล้องของเจ้าของนะจ๊ะ)

ประเทศไต้หวันมันจะมีอะไรให้ค้นหาอีก ผมจึงพยายามหาแรงจูงใจว่าทำไมประเทศไต้หวันถึงเป็นประเทศที่น่าไปไม่น้อยไปกว่าประเทศสุดไฮโซแห่งเอเชียอย่างญี่ปุ่น เกาหลี หรือประเทศทางฝั่งตะวันตกพิมพ์นิยมที่หลายๆคนชอบไปเรียนกันเช่น อังกฤษ อเมริกา หรือ ออสเตรเลียกัน ซึ่งเหตุผลสุดคลาสสิคอย่างแรกที่ทำให้ไต้หวันมาเป็นตัวเต็งเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในดวงใจของผมคือเรื่องภาษาครับ 
ประเทศไต้หวันเป็นประเทศที่ยังใช้ตัวอักษรจีนแบบดั้งเดิมหรือที่เรียกว่าตัวเต็ม (Traditional Chinese Characters) กันอยู่ ซึ่งเป็นรูปแบบของภาษาจีนแบบดั้งเดิม ก่อนที่พี่จีนจะมีการนำตัวอักษรไปปรับเปลี่ยนให้ง่ายต่อการเขียนและดูไม่ยากเกินเรียนมากขึ้น (Simplified Chinese characters)  โดยตัวอักษรจีนแบบเต็มนี้ยังสามารถพบเห็นได้ทั่วไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณย่านเยาวราชครับผม
ความแตกต่างระหว่างการเขียนแบบตัวเต็มกับตัวย่อครับ

และการเรียนภาษาจีนแบบไต้หวันนั้นจะแบ่งคร่าวๆออกเป็นสองอย่างนั่นคือ จู้อิน(Zhuyin) ซึ่งเป็นวิธีการเรียนแบบสะกดคำขึ้นมา (คล้ายๆภาษาไทย) และแบบพินอิน (Pinyin) ซึ่งเป็นพิมพ์นิยมที่ชาวต่างชาติทุกคนที่ต้องการเรียนภาษาจีนนิยมเรียนมากกว่า 
โดยใช้ตัวอักษรภาษาอังกฤษช่วยในการสะกดคำและออกเสียง ทำให้ชาวต่างประเทศทำความเข้าใจในเรื่องของการออกเสียงภาษาจีนได้เห็นชัดและเข้าใจง่ายกว่า และไต้หวันยังมีภาษาท้องถิ่นของคนไต้หวันซึ่งใช้กันอยู่แพร่หลายในหลายๆท้องที่ซึ่งเรียกว่า ภาษาไถหยู่ (Taiyu) ครับ

                     ลักษณะการสะกดคำแบบการใช้ตัวอักษรประเภทจู้อิน (Zhu-Yin) ครับ
 
สำหรับคนที่ต้องการเรียนภาษาจีนแบบลึกซึ้งและใช้งานได้คล่องแคล่วดุจดั่งภาษาบ้านเกิดเมืองนอน และมีเวลาสำหรับเรียนภาษาได้เต็มที่แล้วไซร้ ผมแนะนำให้เรียนแบบจู้อินครับ เพราะว่าแป้นพิมพ์ทุกอย่างของประเทศนี้ตั้งแต่พิมพ์ดีดไปจนถึงในโทรศัพท์มือ ถือ เค้าใช้ระบบจู้อินกันหมด แต่สำหรับคนที่เน้นในการใช้งานจริง เอาตัวรอดซื้อข้าว น้ำ ผัก ปลา และมาม่าไปวันๆอย่างผม จึงไปทางสายพินอินตามระเบียบครับ -_-“

ยิ่งไปกว่านั้น เหตุผลสำคัญอันดับหนึ่ง ที่ทำให้ผมตัดสินใจไปเรียนที่ประเทศไต้หวันนอกจากเหตุผลที่ว่า ตัวอักษรมันจะมาเต็ม แล้วดูมีความเป็นออริจินัลสูงแล้วนั้น การสื่อสารพูดคุยกันของคนประเทศนี้ เค้าไม่ ตะโกนคุยกันครับ ผมคิดว่าสำเนียงและวิธีการพูดของคนไต้หวันนั้น มีความนิ่มนวลและน่าฟังยิ่งกว่าพี่จีนและการออกเสียงนั้น จะไม่ค่อยมีการควบกล้ำตัว 兒(er) 
มากเท่าพี่จีนแผ่นดินใหญ่ครับ

 สำหรับคนที่เคยไปเที่ยวเมืองจีน หรือเคยมีประสบการณ์ได้meet and greetกับคนจีนแผ่นดินใหญ่มาแล้วนั้น ผมเชื่อว่ามีไม่มากก็น้อย ต้องเคยประสบปัญหาที่ว่าคนจีนเค้าพูดเสียงดังถึงดังมาก!!! จนบางครั้งคิดพวกเมิงกำลังทะเลาะกันอยู่ใช่ไหมเห๊ยยย!!! 

อิงจากประสบการณ์ที่เคยไปแลกเปลี่ยนที่เมืองจีนสมัยเรียนมา ทำให้ผมพบความจริงอย่างหนึ่งที่ว่า พี่จีนเค้าเป็นคนที่ชัดเจนมาก ถึงมากที่สุดครับ โดยระดับความชัดเจนในที่นี่คือนอกจากชัดเจนในตัวตนของตัวเองแล้ว และยังชัดเจนในเรื่องของการสื่อสารอีกด้วย!!!
ผมมั่นใจว่าถ้าจับคนจีนสองคนไปอยู่คนละฝั่งถนนสี่เลนแล้วตะโกนถามเบอร์โทรศัพท์แข่งกับคนไทย ผมว่าพี่จีนชนะแหง!!!!!!
โดยปกติแล้วเวลาเราคุยกับเพื่อนหรือว่า คู่สนทนา เราจะมีระยะห่างระหว่างเรากับคู่สนทนาประมาณ ครึ่งเมตร ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติของปุถุชน แต่เพื่อนชาวจีนของผมมันโชว์เหนือยิ่งกว่านั้นหน่ะสิครับ!!

มีอยู่ครั้งนึงต้องไปนอนร่วมห้องกับนักศึกษาชาวจีน ตอนไปแลกเปลี่ยนที่ไต้หวันครั้งแรก พอถึงตอนเย็นแกเห็นเรากะลังนั่งเล่นเกมส์อยู่ก็เลย อยากจะชวนเราไปหาข้าวเย็นกิน มันจึงกระโดดจากเตียงชั้นบนลงมาชั้นล่าง
(*หมายเหตุ*ใช่ครับ ผมใช้คำว่ากระโดดครับ มันไม่ได้ค่อยๆปีนลงมา อืมนี่สิะเหตุผลว่าทำไมเมืองจีนถึงดังเรื่องกายกรรมโลดโผนทั้งหลายแหล่ขนาดคนธรรมดายังดูเป็นเรื่องเบสิคเลย)

โดยพี่แกเรียกชื่อผมเป็นการเกริ่น แล้วพุ่งปรี่เข้ามาหาหน้าผมเลยครับ เอาซะผมนิขนลุกตั้งแต่ยอดรังแคปลายผมจนถึงขนหัวแม่ตรีนเลยครับสัส!!!! คือถ้าเปลี่ยนโลเคชั่นจากโต๊ะเรียนที่นั่งอยู่ เป็นที่นอน แล้วนึกถึงโมเม้นท์ที่รูมเมทอีกคน เปิดผ่างเข้ามา มันคงคิดว่า เรากำลัง จะเริ่มแสดงแสงสีเสียงโชว์ความเป็นชายเหนือชายกันชัวร์ !!!! 
มันก็ถามประมาณนี้เลยครับ (กรุณาจินตนาการตามเพื่ออรรถรสในการอ่าน) ระดับเสียง 1-10 เบาไปดังมาก

 เพื่อนชาวจีน: เห๊ยยย!!!! เมิงงง!!! (ระดับเสียง 10)

ปุ้ย: ว่าไงๆ มีไรเปล่า? (เชี่ย กุไปทำไรมันรึเปล่าวะ???) (ระดับเสียง4)

เพื่อนชาวจีน: กุหิวข้าวแล้ว ไปหาไรกันกันเถอะ!!!!! (ระดับเสียง 10)

ปุ้ย: กินอะไรดีวะ แถวนี้มีอะไรน่ากินบ้าง? (เดี๋ยวกุเลือกไม่ถูกใจ มันเอาตะเกียบกระซวกกุขึ้นมาทำไงวุ๊ย)
(ระดับเสียง4)

เพื่อนชาวจีน: ไม่รู้!!!! เด๋วเดินออกไปก็หาได้เองแหล่ะ!!! (ระดับเสียง 9)

ปุ้ย: ได้ครับพี่ ไปเดี๋ยวนี้เลยครับ (Shipหาย มันโมโหหิวละแหง!) (ระดับเสียง4)

เพื่อนชาวจีน:เห๊ยยยย!!! (ระดับเสียง 10)

ปุ้ย:อะครับ ครับ?? (หู๊ยย อะไรอีกครับ I SUS) (ระดับเสียง5)

เพื่อนชาวจีน: เดี๋ยวกุไปอาบน้ำแปป เมิงรอกุด้วยนะ!!!!(ระดับเสียง 10)

ปุ้ย: ครับพี่ครับไม่ต้องรีบก็ได้ครับ (ไปเถอะคร๊าบพี่ไปเถ๊อะ) (ระดับเสียง4)
 (เพิ่มเติมอีกนิดว่า ตั้งแต่มันตื่นมา มันยังไม่ได้ออกมาจากที่นอนตั้งแต่เช้า ผมถึงขั้นวัดระดับความอุดมสมบูรณ์ใของจุลินทรีย์แลคโตบาซิลัสโคตรเหง้าศักราช แห่งแบคทีเรียทั้งหลาย กระจุยมากับทุกอณูของคำพูดที่มันใช้สื่อสาร จนผมนี่อยากจะเป็นลม ระหว่างที่คุยกับมันเลยทีเดียว) 

หลังจากที่ผมสตั๊นไปประมาณห้าวิหลังจากโวลุ่มของเสียงที่มันสะเทือนไปถึงกระดูกค้อนทั่งโกลนระดับ8.5ริกเตอร์ และอาวุธชีวภาพที่ผมกำลังประชันหน้าอยู่นั้น ผมจึงรวบรวมสติแล้วบอกกับมันว่า ต่อไปเมิงไม่ต้องมารักกูมากถึงขึ้นเข้ามาคุยระยะประชิดแบบเนื้อแทบจะชิดเนื้อก็ได้ครับ กุเสียวววว!!! นับจากวันนั้นเป็นต้นมาและอีกหลายๆครั้งที่ได้ประสบเหตุการณ์ใกล้เคียงกันนี้ ผมถึงตัดสินใจกับตัวเองไว้อย่างแน่วแน่ว่า
 .
.
.
.
.
.
.
.
.
 .
 .
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
กุไม่ไปเรียนที่จีนแน่นอนโว๊ยยยยยยย!!!
ระหว่างที่เขียนเรื่องตอนนี้อยู่ คำพูดของเพื่อนผมสมัยที่ไปแลกเปลี่ยนด้วยกันมันผุดขึ้นมาในหัวดังนี้ครับ
"กุว่านะ ถ้าจะเปิดร้านห่านไรสักอย่างให้มันรุ่งที่เมืองจีน กูว่ามีอยู่สองอย่างที่แม่งรุ่งชัวร์  ร้านซ่อมแตรรถ กับร้านซ่อมหู กุไม่รู้ว่าแม่งประเทศนี้ใช้แตรต่างรหัสมอสหรือว่าอะไรแม่งขยันบีบกันจัง กับร้านซ่อมหูเพราะแม่งคนมันฟังเสียงแตรมากจนหูตึง จนมันคงคุยกันด้วยระดับเสียงธรรมดาไม่ได้ละหว่ะ" (ก้าน,2008 ณ คุนหมิง)


กลับมาเข้าเรื่องกันต่อครับ
สำหรับความเป็นอยู่คือ และการใช้ชีวิตในไต้หวันนั้น ผมคิดว่ามีความใกล้เคียงกับบ้านเรามาก ซึ่งไอ้ความใกล้เคียงที่ว่านั้น มีอยู่ในหลายๆเรื่องด้วยกัน ตัวอย่างแรกคือเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนครับ ถือว่าเป็นเหตุผลต้นๆเลยว่าทำไมผมถึงเห็นไต้หวันเป็นตัวเลือกที่ถือว่าดีในการศึกษาต่อต่างประเทศ เมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วหลายๆประเทศ 
เพราะอัตราแลกเปลี่ยนของประเทศไต้หวันและเรานั้น คร่าวๆคือ 1NTD : 1บาทไทยครับ และค่าครองชีพนั้น ถ้าคำนวนดีๆแล้ว ค่าครองชีพในแต่ละมื้อนั้น แทบจะไม่แตกต่างกันกับการอยู่ที่กรุงเทพเท่าไหร่นัก อย่างรูปก๋วยเตี๋ยวข้างล่างนี่ สนน ราคาอยู่ที่ประมาณ 80-100 NTD และนอกจากนี้แล้วประเทศนี้ยังเป็นประเทศที่มีจำนวนร้านสะดวกซื้อ 7-11 มากพอๆกับบ้านเราเลยทีเดียว  
                                     [Niurou Mian (牛肉麵 Beef Noodles) หรือบะหมี่เนื้อครับ]


                                 [ 7-eleven ในประเทศไต้หวัน และเครื่องดื่มต่างๆที่วางขายภายในร้านครับ]

ในขณะเดียวกัน ถ้าตัดสินใจไปเรียนต่อที่ประเทศสุดหล่อแดนตะวันตก (ส่วนตัวผมคิดว่าเวลาใครถามว่าจบจากไหนมาแล้วได้ตอบว่า เลิ๊นเดิ่น [ลอนดอน] หรือ อเม๊ริก่า(อเมริกา) ด้วยน้ำเสียงและสำเนียงแบบอ่านตามปากน้องณัชชาแล้วนั้น มันจะดูหล่อดูดีมีชาติตระกูลขึ้นมาอีก 25.59%) เมื่อเราหักค่าตั๋วเครื่องบินเดินทางไปกลับระหว่างประเทศ ที่นอกจากจะแพงกว่าไต้หวันซึ่งอยู่ในเอเชียหลายหมื่นแล้ว ค่าครองชีพต่างๆนั้นยิ่งไม่ต้องสาธยายกันต่อเลยครับ อาจจะต้องถึงขั้นขายบ้าน ขายรถ ไปเรียนกันเลย  ซึ่งสำหรับเบี้ยน้อยเงินน้อยแต่หอยไม่น้อยอย่างผมนั้น ไต้หวันจึงเป็นตัวเลือกที่ถือว่าคุ้มสุดตามหลักเศรษฐศาสตร์ชาติไทยอย่างแน่นอน คอนเฟิร์มจ้าา

สำหรับในเรื่องของวัฒนธรรมของชาติไต้หวันนั้น ประเทศนี้ถือว่ามีความหลากหลายทางด้านวัฒนธรรมมากไม่แพ้ชาติใดเนื่องจาก ตัวประเทศนั้นนอกจากจะได้รับอิทธิพลส่วนใหญ่มาจากพี่จีนแผ่นดินใหญ่และชนเผ่าพื้นเมืองซึ่งมีมากกว่า 25 เผ่าแล้ว ยังเคยถูกยึดครองเป็นอาณานิคม โดยหลากหลายประเทศเช่น โปรตุเกส และญี่ปุ่น จึงทำให้ไต้หวันรับเอาอิทธิพลต่างๆมาจากประเทศนั้นๆ เช่นสิ่งปลูกสร้างต่างๆแบบตะวันตก หรือวัฒนธรรมในเรื่องของอาหารการกินจากประเทศญี่ปุ่น ทุกวันนี้ ตายายจำนวนมากในไต้หวัน ยังสามารถสื่อสารด้วยภาษาญี่ปุ่นได้อย่างคล่องแคล่วอีกด้วย 

Highlight: (ส่วนนี้ถูกเพิ่มเข้ามาสำหรับหลายๆคนที่ยาวไปไม่อ่านแล้วก็สรุปเรื่องแบบย่อๆ)
- ชีวิตความเป็นอยู่ที่ไต้หวันดีกว่าประเทศจีน อยู่กินง่ายกว่า
- ได้มีโอกาสเรียนภาษาจีนที่สำเนียงฟังง่ายและลื่นหูกว่า
- ค่าครองชีพถูกกว่าอยู่จีน
Puipui Adventure:)
#puipuiadventure

ปล. สำหรับคนที่ต้องการสาระแบบละเอียดในเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการขอวีซ่า สมัครเรียน และอื่นๆ อดใจรอกันสักหน่อยนะครับ ไว้จะมีทยอยมาลงเรื่อยๆครับผม

Creditรูปภาพประกอบจาก
: http://forums.hardwarezone.com.sg/eat-drink-man-woman-16/%5Bgpsgt%5D-these-taiwanese-girls-twins-4189402.html
:http://patokallio.name/photo/travel/Taiwan/Wikimania2007/Food_BeefNoodleSoup_Large.JPG

No comments:

Post a Comment