Monday, February 9, 2015

ตอนที่7 :คุยกับชาวไต้หวัน



13 กันยายน 2555 

แผนกตรวจคนเข้าเมือง สนามบินนานาชาติเกาสง เวลา 20:55 เวลาไต้หวัน

นี่เป็นบทสนทนาแรกที่ผมได้คุยกับคนไต้หวันครับ เป็นพี่พนักงานตรวจคนเข้าเมือง
 ใช่ครับ สูตรเดียวกับในหนังแบบที่หลายๆคนเคยดูนั่นแหล่ะครับ ไม่รู้ทำไม ตม.ที่ตรวจผมนี่ไซส์นักมวยปล้ำ WWE ตัวใหญ่ๆ แบบล้มหมีได้ด้วยมือเปล่า และหน้าตาเหมือนหมีด้วย -_-" (โฮก)

ผม: สวัสดีครับ
พี่พนักงาน:…. ขอพาสปอร์ตหน่อยครับ
ผม: นี่ครับผม (ยื่นพาสปอร์ตให้พี่แกไป)
พี่พนักงาน: อันนี้มาไต้หวันทำอะไรครับ (ภาษาอังกฤษสำเนียงจีน)
ผม: มาเรียนครับผม ปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยนี้ครับ (ยื่นเอกสารตอบรับให้พี่แกไป)
พี่พนักงาน: ทำหน้าเครียดแล้วหันไปคุยกับเพื่อนที่อยู่บูทข้างๆ
ผม: ……. (ชิบหายแล้วมีเรื่องรึเปล่าวะ)
พี่พนักงาน: มีเอกสารอย่างอื่นยืนยันอีกไหมครับ พักที่ไหนครับ?
ผม: ไม่มีแล้วนะครับ ผมพักที่หอของมหาวิทยาลัยครับ
พี่พนักงาน: หันไปถามเพื่อนอีก เริ่มเสียงดังขึ้น
ผม:…. (กูยังไม่ได้ทันเข้าประเทศ สงสัยจะส่งกูกลับแล้วมั้งเนี่ยะ)
พี่พนักงาน: ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับ เชิญผ่านได้ครับ
ผม: โอ้ว ขอบคุณครับ
พี่พนักงาน: เดี๋ยว!!!
ผม: ครับผม? (เอาแล้ววึ๊ยยย!!)
พี่พนักงาน: ผมพึ่งเห็นว่าวันนี้เป็นวันเกิดคุณ สุขสันต์วันเกิดนะครับ
ผม: ขอบคุณมากครับ (โอยย พี่ไม่ต้องเซอร์ไพรส์วันเกิดผมก็ได้ครับ ใจไปอยู่ตาตุ่มแล้ว)

ถือว่าเป็นความประทับใจแรกในไต้หวันตั้งแต่เข้าประเทศกันก็ว่าได้  โอ้ว.....นี่มันคงเป็นอย่างที่เค้าว่ากันว่าคนเราอย่ามองเพียงแค่ใบหน้าสินะ  หลังผ่านแผนกตรวจคนเข้าเมืองมาแล้ว ผมแวะซื้อซิมการ์ดสำหรับโทรศัพท์มือถือ ซึ่งได้ข้อมูลตอนก่อนมาว่า ถ้าไปซื้อข้างนอกสนามบิน จะเสียเวลาและมีวิธีการที่ซับซ้อนมากกกกก เพราะต้องให้เพื่อนชาวไต้หวันช่วยลงทะเบียนในการเปิดซิมก่อน และต้องนำบัตร ARC (Alien Resident Visa) พาสปอร์ต บางทีอาจจะลามไปถึงเอกสารรับรองการเข้าเรียน ไปเปลี่ยนหลังจากที่เป็นนักเรียนตัวเต็มวัยแล้ว ผมเลยจัดมันซะตั้งแต่ตอนถึงสนามบิน เพื่อที่จะได้โทรบอกที่บ้านว่ายังครบ32ประการดีอยู่ โดยที่เป็นแบบเติมเงิน emome ของ Chunghwa telecom ซึ่งเสียค่าลงทะเบียนเบ็ดเสร็จแล้วจะตกประมาณ 400 NTD พร้อมค่าโทร และโทรกลับไทยจะตกประมาณนาทีละ 2.20 NTD แต่ว่าค่าโทรหากันในประเทศนิ เข้าขั้นแพงบรรลัย โดยคิดค่าโทรเป็นวินาทีครับ -_-"



 หลังจากที่ทำการซื้อซิมเสร็จสรรพ ก็ได้เวลาเดินทางไปสู่เมืองไถหนาน (Tainan) ซึ่งผมจะต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ในอีกสองปีข้างหน้า โดยที่ทางมหาลัยได้มีการส่งรถมารับนักศึกษาต่างชาติ (โดยที่เราต้องลงทะเบียนไว้ก่อน) ซึ่งอากาศตอนออกมาข้างนอกสนามบิน มันช่างได้ฟิลลิ่งแบบ
อ่าห์..... นี่เราเป็นนักเรียนนอกแล้วสินะ 


ระหว่างที่นั่งรถจากสนามบินไปยังมหาวิทยาลัย ฝนก็ตกมาตลอดทางเพราะเป็นช่วงเปลี่ยนฤดูจากฤดูร้อนไปเป็นฤดูใบไม้ร่วง ผมนึกย้อนไปถึงตอนที่อยู่บนเครื่องบิน ผมนั่งติดกับคุณพี่ชาวไต้หวันคนหนึ่ง อายุราวๆ 30ปี ชื่อ เอ็ดดี้ ระหว่างที่ผมกำลังเช็คกรอกใบตรวจคนเข้าเมือง เอ็ดดี้เปิดบทสนทนาถามผมก่อนว่า "มาเที่ยวไต้หวันหรอ?" ผมบอกเอ็ดดี้ไปว่าผมมาเรียนต่อปริญญาโทไต้หวัน แกเลยบอกว่า ถ้าแกยังเป็นนักเรียนอยู่ แล้วรู้ตัวตั้งแต่ตอนนั้นว่าชอบออกไปท่องเที่ยว แกก็อยากจะไปเรียนที่ต่างประเทศบ้าง แล้วเอ็ดดี้ก็เล่าว่า แกไปทำงานที่เมืองไทยมาได้ประมาณ 6 ปีแล้ว ปกติต้องบินไปบินกลับ ประมาณสองเดือนครั้ง แกเลยยิงมุกว่า ถ้าอีกหน่อยบริษัทเปลี่ยนให้เดินทางไปเมืองไทยทุกเดือน คงจะได้มีแฟนเป็นคนไทยแน่ๆ (เอ้าฮาา)

ผมเลยถามแกว่า ปกติแล้วคนที่นี่เค้าแต่งงานกันอายุเท่าไหร่ เอ็ดดี้เลยเล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนคนไต้หวันยี่สิบกว่ากลางๆ ก็จะเริ่มแต่งงานมีครอบครัวกันหมดแล้ว แต่พอมาถึงสมัยนี้ แต่ละคนมีแนวโน้มจะแต่งงานกันช้าลง เพราะคิดว่า ต่างฝ่ายต่างต้องมั่นใจว่าดูแลพ่อแม่ตัวเองดีและมีเงินพอเก็บพอใช้สำหรับตัวเองแล้วถึงจะแต่งงาน และค่านิยมแต่งงานช้านั้นจึงค่อยๆเป็นที่ยอมรับกันมากขึ้นในสังคม เหมือนๆกับอารยธรรมตะวันตก แกเล่าว่าเมื่อก่อนถ้าเห็นมีการกอดกันกลางถนนนี่ถือว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสม แต่สมัยนี้แกบอกว่าติดเรทยิ่งกว่านั้นไปหลายเท่าจนสังคมเริ่มจะยอมรับกันบ้างแล้ว แกเคยเล่าว่าบางทีไปเดินตามสวนสาธารณะใหญ่ๆ ตอนกลางคืน ถึงขั้นเจอผีพุ่มไม้กันเลยก็มี

เอ็ดดี้บอกผมว่า แกเคยไปศึกษาเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาแบบเมืองไทยมาบ้าง เพราะว่าแกชอบไปเที่ยววัดของเมืองไทย วัดของเมืองไทยสวยและดูเรียบง่ายกว่าวัดของไต้หวัน แล้วยังเล่าต่อว่าหลักทางสายกลางที่พระพุทธเจ้าสอนนั้นมีความคลาสสิคและเหมาะสมกับยุคสมัยปัจจุบันมาก เพราะทำให้เราสามารถอยู่ร่วมกับคนที่มาจากหลายยุคสมัยร่วมกันได้อย่างสงบสุข ไม่ยึดเอายุคสมัยของตัวเองมาวัดความถูกต้องกับคนในยุคสมัยปัจจุบัน ขณะที่ผมนั่งฟังแล้วพยักหน้าหงึกๆเห็นด้วยกับแกไป 

เอ็ดดี้ถามผมว่าตอนที่มีเหตุการณ์ประท้วงที่เผากรุงเทพเมื่อหลายปีก่อน เราคิดว่ายังไง ผมบอกแกไปว่าเพราะว่าคนเราไม่ยอมเข้าหากันและคุยกันด้วยเหตุผล คิดว่าฝ่ายของตัวเองเป็นฝ่ายที่ถูกเพราะแต่ละฝ่ายเชื่อว่าเหตุผลของตนนั้นเป็นสิ่งที่ถูก จึงทำให้สุดท้ายแล้ว คนที่ต้องมารับความเสียหายนั้นกลับเป็นคนที่ไม่ได้เลือกข้างหรือเป็นกลุ่มคนที่มุ่งทำมาหากินเพื่อดูแลครอบครัว 

เอ็ดดี้บอกว่าคนเราบางครั้งมีอีโก้ของตัวเองที่สูง และคิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายที่ถูกแต่ไม่ชอบเอาใจเขามาใส่ใจเรา ไม่เคยมองว่าถ้าตัวของเค้าเองถูกกระทำในแบบเดียวกันเค้าจะรู้สึกยังไง ผมเลยถามแกว่านี่ทำงานเป็นนักจิตวิทยาหรือว่านักสันติภาพหรือเปล่า เพราะว่าถ้ามีคนแบบเอ็ดดี้สักล้านคน โลกนี้คงสงบกว่านี้เยอะ เอ็ดดี้บอกว่าเค้าทำงานเกี่ยวกับบริษัทซอฟต์แวร์ชื่อดังแห่งหนึ่ง แกเล่าไปหัวเราะไป แล้วบอกว่า ไม่แน่ว่าถ้าผมได้ไปเมืองไทยบ่อยๆ อีกหน่อย ผมอาจจะย้ายไปอยู่เมืองไทย เปลี่ยนจากไม่หาเมีย แล้วบวชเป็นพระให้มันรู้แล้วรู้รอดกันเลยทีเดียว

ผมยังนึกเสียดายจนถึงทุกวันนี้ที่ไม่ได้ขอเบอร์ติดต่อหรืออีเมล์เอ็ดดี้ไว้เผื่อเอาไว้สมัครงาน เอ๊ยย!! ไว้เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ ผมคิดว่าบางที การเรียนรู้เรื่องวิชาชีวิตนั้น นอกจากเราจะเรียนได้ผ่านการเจอหรือโดนด้วยตัวเองแล้ว การเรียนรู้จากประสบการณ์จากคนอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากที่คนที่มาจากต่างประเทศต่างภาษา ทำให้เราพบว่าบางทีคนเราก็ไม่ได้แตกต่างกันมากขนาดนั้น 

อยู่ที่ว่าเราจะยอมรับความต่างของแต่ละคนได้มากน้อยแค่ไหน เหมือนกับรองเท้าที่มีลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกัน มีเบอร์สำหรับคนที่มีขนาดเท้าแตกต่างกัน แต่สุดท้ายแล้วคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดคือ ปกป้องเท้าของเราให้ปลอดภัยระหว่างการสวมใส่ สิ่งนี้ต่างหากคือหน้าที่หลักของรองเท้านั่นเอง 

Highlight Summary:
- อย่าลืมซื้อซิมที่สนามบินถ้ามีโอกาส ราคาไม่ต่างจากในเมือง ถ้าถึงแล้วบูทยังเปิดอยู่ก็ซื้อเถอะ
- คนไทยและคนไต้หวันมีนิสัยบางอย่างเหมือนกันและมีหลายอย่างที่ไม่เหมือนกัน
- culture shock และ weird feeling เกิดขึ้นได้ แต่ต้องเปิดใจยอมรับในความต่าง คนเราเกิดและโตมาไม่เหมือนกัน
- เวลาคิดอะไรไม่ออกไม่ต้องกลัวเพราะพูดภาษาจีนไม่ได้ พูดอังกฤษไปเลยข่ะ อย่างน้อยเค้าอาจจะเข้าใจก็ได้


Credit: ขอขอบคุณข้อมูลและรูปประกอบจาก Google

ตามไปดูชีวิตไร้สาระประจำวันของคนเขียนได้ที่ Instragram: @puipuiiadventure

ปล.ช่วงก่อนหายไปเพราะเป็นช่วงหยุดยาวตรุษจีนที่ไต้หวัน ตอนนี้กลับมาแล้วคร๊าบ ชอบไม่ชอบ มีคอมเม้นต์ ติ ชม สามารถสอบถามกันเข้ามาได้เลยนะครับ :)