Thursday, September 7, 2017

ตอนที่15 : เตรียมตัวปราบบอสใหญ่ ภาคจบ (ปัจฉิมบทรั้วมหาวิทยาลัย)



ทำไมอาจารย์เลือกเด็กคนอื่นแต่ไม่เลือกเรา(วะ)!!??!?

 
หลังจากบทก่อนหน้านี้ เราได้เล็งอาจารย์ที่ปรึกษาซึ่งจะมาเป็นโค้ชให้เราในการทำวิทยานิพนธ์แล้ว
ใจความที่สำคัญสุด คือการตอบรับจากอาจารย์ แน่นอนว่าอาจารย์แต่ละคนมีเงื่อนไขและหลักในการเลือกเด็กที่ไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะงงๆว่า แล้วอย่างี้จะต้องทำยังไง อาจารย์ถึงจะเซย์เยสให้กับการถวาย เอ๊ย เสนอตัวเข้าเป็น advisee???

ซึ่งผมจะขอแบ่งคร่าวๆเป็น 3 แบบตามประสบการณ์ส่วนตัวของตัวเองดังนี้

1. หัวข้อที่เลือกทำ
หัวข้อที่เลือกทำนั้น เป็นส่วนสำคัญทั้งในมุมของอาจารย์และนักศึกษา เพราะว่าอาจารย์หลายคนจะเลือกนักศึกษาตามหัวข้อหรือเรื่องที่ตัวเองมีพื้นฐานหรือเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆเป็นอย่างดีอยู่แล้ว ซึ่งจะช่วยให้นักศึกษาได้รับแนวทางที่ค่อนข้างจะชัดเจนและสามารถเลือกใช้งานวิจัยสนับสนุนการเขียนของตนเองได้อย่างแม่นยำ ตรงประเด็น รวมไปถึงแนวโน้มในอนาคต ที่งานวิจัยนั้นๆ สามารถพัฒนาไปเป็นงานวิจัยที่ตัวอาจารย์เอง สามารถนำไปใช้ประโยชน์ (ทำเป็น publication) ได้อีกเช่นกัน
กรณีตัวอย่าง
อย่างกรณีของนักศึกษาบางคนที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้บริโภคเกี่ยวกับการเลือกที่พักทางเลือก(โฮสเทล Airbnb ฯลฯ) และอาจารย์ที่ปรึกษากำลังศึกษาเรื่องดังกล่าวในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาจารย์จะมีแนวโน้มที่สนใจหัวข้อและงานของเรา เนื่องจากสามารถนำผลงานวิจัยของเราเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนงานเขียน งานวิจัยของอาจารย์เอง หรือในอนาคต หากนักศึกษาต้องการเป็นนักวิจัยในอนาคต ก็สามารถทำงานร่วมกับอาจารย์โดยต่อยอดงานวิจัยดังกล่าวเป็นงานวิจัยที่เขียนร่วมกับอาจารย์ก็ได้ 

2. บุคลิก คุณลักษณะ และความรับผิดชอบของตัวนักศึกษา
อาจารย์หลายๆท่านจะเลือกเด็กตามความรับผิดชอบในห้องเรียน ตัวตนและ ลักษณะนิสัยของเด็กคนนั้นๆที่เห็นทั้งในและนอกห้องเรียน ว่าไปในทิศทางเดียวกันกับอาจารย์หรือไม่(แปลง่ายๆว่าสไตล์การสื่อสารเข้ากันได้รึเปล่านั่นแหล่ะ) คิดง่ายๆว่า ถ้าเราเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา เราก็อยากได้เด็กที่ฟังความคิดเห็นของเรา และทำการบ้านที่เราสั่งและส่งงานตามเวลาอย่างเคร่งครัดมากกว่าเด็กที่มีสไตล์สุดโต่ง ขาดเรียนบ่อย สอบตก หรือไม่ส่งงานตามกำหนด ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่อาจารย์สามารถประเมิน ความรับผิดชอบ ของตัวนักศึกษาเนื่องจาก การทำวิทยานิพนธ์นั้นเป็นเรื่องที่นักศึกษาจะต้องมีความรับผิดชอบต่อตัวเองสูง ไม่ว่าการที่จะต้องเขียน หาข้อมูลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง รวบรวมตัวอย่าง ทดสอบและทดลอง แปลผล และสรุปผลเอง ซึ่งอาจารย์จะไม่เข้ามายุ่งในส่วนวิธีการทำส่วนใหญ่ ซึ่งอาจารย์จะช่วยในส่วนเฉพาะของการแนะนำและประเมินว่าควรสอบหรือไม่สอบจบเท่านั้น

3. อื่นๆ
อ่าว งงละสิ ทำไมผมถึงมีส่วนนี้ออกมา 555 ในส่วนนี้จริงๆแล้วมันมีที่มาที่ไปฮะ
จากประสบการณ์ส่วนตัวตอนที่เรียนอยู่  ตอนอยู่ในช่วงที่กำลังไล่ล่าหาเลือกอาจารย์ที่ปรึกษาอยู่ 
ก็ได้ยินจากเพื่อนๆหลายคนบ่นกันระงมเป็นช่วงเวลาใหญ่ๆ ว่าอาจารย์ไม่ยอมรับสักที หรือว่าทำไมอาจารย์บางท่านเลือกเด็กอีกคนหนึ่งแต่ไม่เลือกมัน หลายๆคนอาจจะคิดว่า เด็กบางคนอาจจะมีการเล่นของ ไม่แน่ว่ากุมารทองจากประเทศกลุ่มแอฟริกาใต้อาจจะแข็งแกร่งบัฟกล้ามกว่ากุมารของบ้านเรา หรือว่าอาจจะมีสาลิกาพันธุ์ยุโรปที่ลิ้นทองกว่าบ้านเรา (ถุ๊ยย!!!)
 ในความคิดเห็นส่วนตัวของผม อาจารย์บางท่าน อาจเลือกเด็กตามสไตล์ที่ตนเองชอบ หรือเชื่อมโยงกันในด้านอื่นๆ เช่นอาจารย์เลือกรับเด็กคนหนึ่ง ที่ไม่ได้เก่งทางวิชาการมาก แต่เป็นเด็กที่เก่งในเรื่องกิจกรรม หรือทำงานเป็นทีม มากกว่าเด็กอีกคนหนึ่งซึ่งเรียนเก่ง ขยัน+active ในห้องเรียน แต่เป็นเด็กที่ไม่รู้จักการทำงานเป็นทีม อาจารย์อาจจะมองเห็นบางอย่างในตัวเด็กคนแรกซึ่งสามารถเลือกหัวข้อที่น่าสนใจ มีความคิดและวิธีการคิดที่น่าสนใจกว่าเด็กอีกคนหนึ่ง ทำให้อาจารย์ตัดสินใจที่จะเลือกเด็กอีกคนมากกว่า 
ดังนั้นอาจารย์แต่ละคนจะมีเงื่อนไขในการรับเด็กที่ต่างกันออกไป ผมแนะนำให้สอบถามจากรุ่นพี่ที่เรียนมาก่อนในเทอมแรกที่เราเข้ามาเรียน เพื่อดูว่าอาจารย์มักจะเลือกเด็กประเภทไหน หรือว่ามีเคล็ดวิชาอะไรที่ทำให้เราได้รับการเลือกเป็นหนึ่งในทีมของอาจารย์คนนั้นๆ

โดยหลังจากที่เซ็นสัญญากับอาจารย์เข้าเป็นนักเตะ เอ๊ย เป็น Advisee กับ Advisor กันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนในการทำวิจัยจะแบ่งออกเป็นภาคแบบย่อๆดังนี้ครับ

1. ขึ้นโครงร่าง รู้ว่าตัวเองทำอะไรอยู่และอยากทำอะไร
2. อ่าน เขียน อ่าน เขียน
3. สรุปผลครึ่งแรก
4. สอบ Proposal Defense + แก้ไข
5. เก็บตัวอย่าง/ลงภาคสนาม/ทดสอบ
6. รวบรวมข้อมูล ประเมินและสรุปผล
7. สอบ Final Defense และลง Final touch 

ซึ่งรูปแบบและวิธีการในขั้นตอนต่างๆหลังจากนี้นั้น เป็นส่วนที่แต่ละคนต้องไปบู๊ล้างผลาญกัน เติมเต็มประสบการณ์ชีวิตของตัวเองให้เต็มที่ เพราะจะต้องจัดระเบียบการเรียน กิจกรรม และการทำธีสิสให้ดีมากๆ โดยมีแต่ตัวเองเท่านั้นที่จะคอยผลักและถีบส่งตัวเองให้เขียนวิจัยส่วนนี้ให้ออกมาสำเร็จเป็นรูปร่าง เป็นการเรียนแบบ ส.ป.ช.อย่าง"แท้จริง" ที่ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว และไม่มีทางลัดที่แน่นอน

สิ่งที่ผมแนะนำได้ในส่วนของการเขียนวิทยานิพนธ์คงมีเพียงเท่านี้ครับ;

1. อ่านมันเข้าไป 
ข้อมูลที่เราจะเอามาเขียนส่วนใหญ่จะใช้อ้างอิงมาจากงานวิจัยของคนที่เคยวิจัยมาก่อนหน้า และหนังสือทฤษฎีที่นักวิชาการเคยเขียนเอาไว้ หลายๆงานที่เราอ่าน เพื่อเอาแนวคิดและดูความคืบหน้าของงานวิจัยสายนั้นๆ โดยไม่แน่ว่าอ่านไปอ่านมา อาจจะทำให้ได้หัวข้อของตัวเองมาแบบงงๆ พยายามดูตัวแปรที่เค้าใช้ในการประเมิน ความเชื่อมโยงในแต่ละส่วนของเนื้อหา และที่มาของงานวิจัย จะทำให้เราสามารถกรองเฉพาะส่วนที่เราต้องการได้อย่างครบถ้วน

2. จับประเด็น
ดูว่าเรื่องที่เราอยากทำนั้น มีใครเคยทำบ้าง หรือมีประเด็นไหนที่เคยมีคนทำแล้วบ้าง แล้วทำการเขียนแผนภูมิความคิดขึ้นมา หรือ"ขึ้นรูป" งานวิจัยของตัวเองขึ้นมาว่า เกิดจากอะไร ต้องการทดสอบอะไร แล้วคาดหวังผลงานวิจัยออกมาให้เป็นรูปแบบไหน เพราะหากเขียนแผนภูมิขึ้นมาแล้ว จะทำให้การแบ่งเรื่องที่ต้องอ่านเพิ่ม รวมไปถึงชิ้นส่วนที่ขาดหาย ถูกเติมเต็มขึ้นมาง่ายขึ้น

3. เลือกในสิ่งที่ชอบ
ย้ำอีกครั้งในส่วนนี้ เพราะว่าเราจะต้องถูกจองจำกับเรื่องนี้หัวข้อนี้เป็นระยะเวลามากกว่า 3 เดือน หรืออาจจะยาวถึง 1 ปี พยายามเลือกเรื่องที่เรามีความสนใจจริงๆ หรือสามารถนำไปต่อยอดได้ในอนาคต จะช่วยให้งานวิจัยดูมีความ ล้ำค่าในสายตาของเราขึ้นมา อย่าเลือกหัวข้อที่อาจารย์เลือกให้ เพราะบางครั้งตัวเราเองจะไม่เข้าใจในความสำคัญของตัวงาน และอาจจะโดนเชือดทิ้งตอน Proposal/Final defense ได้  

4. อย่าหยุด
เพราะว่าระหว่างทางที่เริ่มเขียนวิทยานิพนธ์ หลายๆคนก็อาจจะมีตัวเรียนที่น้อยลง รวมไปถึงความคุ้นเคยต่อสภาพแวดล้อมที่อยู่มากขึ้น จึงทำให้ทุกอย่างแลดูเริ่มสวยงามขึ้นในสายตาของเรา แต่อย่าครับ อย่าไปหลงกลมัน มันคือ Hotel California ที่เราจะเริ่มต๊ะต่อนยอนไปกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า โอ้ว ฤดูใบไม้ผลิมาแล้ว เราต้องออกไปเที่ยวเล่น เราต้องออกไปผจญภัยในโลกแห่งใหม่ที่เกาะ Formosa~ 
ใช่ครับ ผมเห็นด้วยว่า เราต้องหาประสบการณ์ชีวิตอยู่เสมอ เพราะตอนนี้เราไม่ได้อยู่ที่บ้านเกิดเมืองนอนเรา แต่ต้องพึงระลึกอยู่เสมอว่า อย่าสบายตอนนี้ลำบากตอนหน้า พยายามตั้งเป้าให้ตัวเองอยู่เสมอ เช่นจะอ่านงานวิจัยให้ได้อย่างน้อยวันละ 1 งาน นั่งเขียนอย่างน้อยวันละ 3 ชั่วโมง ทุกๆวัน เพราะถ้าหากไม่ทำแล้ว รู้ตัวอีกที อาจจะต้องอดหลับอดนอน นั่งเขียนนอนเขียน ตีลังกาเขียน และงานที่ออกมาก็ต้องแก้แล้วแก้อีก เพราะว่าทำไม่ได้อย่างที่เราคาดหวัง ยังไม่รวมอุปสรรคในด้านภาษาในการเขียน ผลการวิจัย ผลการสำรวจ กลุ่มตัวอย่าง การตีความ และแก้ตามความเห็นของอาจารย์ ขอแนะนำเลยว่าเข้าช่วง ปลายเทอม 2 ของปีแรก ถือเป็นฤกษ์งามยามดีที่จะหาหัวข้อและอาจารย์ที่ปรึกษา และจับอาจารย์เซ็นสัญญาให้ได้ เพราะเราจะได้เริ่มทำวิจัยตั้งแต่ต้นเทอมแรกของปีที่ 2 และอย่างน้อยที่สุด เราจะสามารถทำเรื่อง proposal defense ให้เสร็จได้ก่อนที่ เทอมแรกในปีที่ 2 ของเราจะสิ้นสุดลง และจะทำให้เรามีเวลาที่จะเก็บข้อมูล สรุปผล และแก้งานให้เสร็จก่อนจะทำการ final defense ในปลายเทอมสุดท้าย เพราะฉะนั้น ชาวเราเอ๋ย อย่าขี้เกียจอยู่ไย รีบตั้งเป้าให้ตัวเองแล้ว หนีบคอมพิวเตอร์ไประหว่างเที่ยว เพื่อทำงานด้วยเอย ฮุยเลฮุยยย!!!




สำหรับคนที่คิดจะหาทางลัดเพื่อให้หลุดพ้นจากวิบากกรรมครั้งนี้เช่นจ้างให้คนอื่นทำ ผมขอเตือนไว้เลยว่า อย่าคิดที่จะทำทางลัดครับ เพราะเงินที่ได้มา ไม่คุ้มกับผลที่ตามมา มีเด็กหลายๆคนที่ให้เพื่อนคนอื่นทำงานวิจัยให้แล้วจ่ายเงินเป็นก้อน แม้ว่าจะทำการบรีฟกับคนที่ทำงานให้มามากแค่ไหน สุดท้ายแล้วก็โดนเจี๋ยนทิ้งกลางงาน proposal ก็มีมาแล้วครับ (โดนอาจารย์ที่เข้า proposal defense ไล่ให้กลับไปเขียนใหม่หมดตั้งแต่ต้น) นอกจากจะเสียความรู้สึกแล้ว ยังเสียเวลาอีกด้วย ถือว่าไม่คุ้มเลย
ผมเองก็เคยมีประสบการณ์ทำนองนี้มาเหมือนกัน หลังจากที่ทุกอย่างผ่านพ้นไปแล้ว แม้ว่าเราจะรอดตายออกมาได้ แต่มันก็ทำให้เราหมดความภาคภูมิใจในตัวเอง รวมไปถึงความน่าเชื่อถือจากคนรอบข้างอีกด้วย ถ้าคิดที่จะทำ ถือว่าผมขอหล่ะ อย่าเลย มันไม่คุ้มที่จะเสี่ยงครับ 

โดยสำหรับส่วนรายละเอียดปลีกย่อยในส่วนของการเตรียมตัวและสอบจบผมขอทำเป็นสรุปย่อยเป็นข้อๆ เพราะว่าไม่แน่ใจว่าของมหาวิทยาลัยอื่นจะเป็นเหมือนกันรึเปล่า

- ตรวจสอบว่า core courses ของเรา หน่วยกิตของเรา ลงครบสามารถสอบจบได้แล้วหรือยัง
- นัดอาจารย์ที่เป็น committees ได้ครบหมดก่อนสอบ proposal และสอบจบให้ได้อย่างช้าสุด 1 สัปดาห์ล่วงหน้า
- อย่าลืมเตรียมของว่าง ข้าวไว้ให้สำหรับอาจารย์ที่เข้าร่วมสอบ โดยอาจจะเตี๊ยมกับเพื่อนที่สอบในวันเดียวกัน จะได้มีขนมให้อาจารย์ที่ไหม่เหมือนกัน แนะนำให้ถามอาจารย์ก่อนด้วยว่ามีอะไรที่ทานไม่ได้บ้างรึเปล่า 
- พยายามพรีเซนต์ให้เหมือนตัวเองกำลังเล่าเรื่องให้อาจารย์ฟัง ตอน proposal ส่วนใหญ่จะโดนกันเรื่องโครงสร้าง การตั้งสมมุติฐานและตัวแปร 
- ตอนสอบจบ พยายามโฟกัสผลที่เราไปทำมาเป็นหลัก ส่วนใหญ่ที่เห็นกันจะเป็นเรื่องของผลที่ได้ ข้อสรุป และการตีความ 
- สอบจบแล้วบางที่ จะบอกคะแนนให้รู้ บางที่จะไม่บอก (ของเฉิงต้าจะไม่บอก ต้องแอบถามกันอีกที)
- ส่วนใหญ่งานรับปริญญาจะถูกจัดขึ้นก่อนที่จะสอบจบเสร็จจริงๆ มันก็จะแปลกหน่อยๆ
- อย่าลืมเช็คว่าวันที่สอบจบนั้นยังอยู่ในขอบของเทอมสุดท้ายอยู่รึเปล่า เพราะหากผิดพลาดขึ้นมา อาจจะต้องถูกเลื่อนไปช่วงซัมเมอร์แทน


สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดสำหรับบทนี้ ขอให้ทุกคนโชคดี และมีความสุขกับชีวิตนักศึกษาในไต้หวันครับ:)

ภาพตอนโดนเจื๋อน Final defense, Credit:พี่เซิน
Highlight Summary:
- อาจารย์ผิด หัวข้อผิด ชีวิตเปลี่ยน อาจารย์จะเลือกเด็กที่ดูเค้ากับเค้าได้ ตัวเราก็เช่นกัน
- พยายามกะเวลาในการทำให้ดี เพราะระหว่างทางต้องมีการแก้ไขอีกนับไม่ถ้วนรออยู่
-ใจความสำคัญหลักคือ อย่าหยุดทำ ต้องดันตัวเองให้ได้ตลอดรอดฝั่ง ขี้เกียจคือชีวิตจบ



สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด

สารภาพตามตรงว่า ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีคนหลงเข้ามาอ่านเยอะขนาดนี้ และต้องขออภัยสำหรับหลายๆคนที่ติดตามมา แล้วผมก็จะมาๆหายๆ ในช่วงหลังๆ เพราะเปลี่ยนงาน และต้องเดินทางบ่อยๆ เลยทำให้ไม่มีจังหวะที่จะมานั่งเทียนเขียนเหมือนช่วงที่เรียนอยู่สักเท่าไหร่ แรกเริ่มเดิมทีตอนที่เขียนบล็อคนี้ขึ้นมาเพราะมีเพื่อนๆพี่ๆน้องๆหลายคนสอบถามกันเข้ามาเกี่ยวกับการเรียนและใช้ชีวิตที่ไต้หวัน ประกอบกับตอนที่ตัวเองมาเรียน ด้วยความที่ง่อยในภาษาจีนมาก บวกกับในตอนนั้นแทบจะหาข้อมูลอะไรเกี่ยวกับเมือง+ข้อมูลมหาลัยแทบจะไม่ได้เลย (ยกเว้นใน TSAT+TSA) เลยทำให้การใช้ชีวิตช่วงแรกๆนี่ค่อนข้างจะสมบุสมบันพอสมควร โชคดีที่ยังมีพี่ๆเพื่อนๆที่มหาวิทยาลัยช่วยประคับประคองกันให้ใช้ชีวิตผ่านกันไปได้ เลยอยากจะใช้พื้นที่ตรงนี้เป็นเหมือน ข้อมูลอ้างอิง หนังสือ บันทึกชีวิตที่คอยช่วยเหลือให้เด็กรุ่นใหม่ น้องๆที่อยากไปเรียนต่อไต้หวัน ได้มีข้อมูลไว้ใช้ในการอ้างอิงหรือว่าให้เห็นภาพว่าการใช้ชีวิต หรือว่า การเรียนในไต้หวันในอีกมุมหนึ่งเป็นยังไง ยอมรับว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยเขียนอะไรเลย นอกจากเห็นงานจากของรุ่นพี่ที่รู้จักคนหนึ่ง (หมอเก๋อ คัมภีร์ เจ้าของผลงาน 'หิมาลัยต้องใช้หูฟัง' และ 'Greenland Skylight') และรู้สึกว่ามีไฟขึ้นมา ซึ่งในปัจจุบัน นโยบายของประเทศไต้หวันนั้น ได้มีทุนการศึกษามากมายไว้รองรับนักเรียน นักศึกษาต่างชาติอย่างเราๆเพิ่มขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก
ผมจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หากใครได้หลวมตัว หรือหลุดมาเจอบล็อกของผม จะสามารถช่วยเหลือและให้ข้อมูลให้แก่ทุกๆคนได้ ไม่มากก็น้อยครับ  

หลังจากนี้ ผมเองยังคงที่จะเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับไต้หวันต่อ และการใช้ชีวิตในส่วนอื่นๆ รวมไปถึงแบ่งปันประสบการณ์ท่องเที่ยวในประเทศต่างๆตลอดระยะเวลาที่เรียนอยู่และทำงานแล้ว เผื่อว่ามีทริปไหนที่เพื่อนๆพี่ๆน้องๆอยากไปจัดกันในระหว่างที่เรียนอยู่ที่ไต้หวันกันครับ   

ขอบคุณทุกท่านมากๆครัช!!!!


ปุ้ย

ตามไปดูชีวิตไร้สาระประจำวันของคนเขียนได้ที่ Instragram: @puipuiiadventure